เมนู

8. วักกลิเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระวักกลิเถระ


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
[342] ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ป่าใหญ่ ซึ่งเป็นที่ปราศจาก
โคจรเป็นที่เศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร ?

ท่านพระวักกลิเถระกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จะยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไป
สู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ จัก
เจริญสติปัฏฐาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 และโพชฌงค์ 7
อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ปรารภความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความ
พร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้าพระองค์จึงจัก
อยู่ในป่าใหญ่ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มี
พระองค์อันฝึกแล้ว มีพระหทัยตั้งมั่น จึงเป็นผู้ไม่เกียจ-
คร้านตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันอยู่ในป่าใหญ่.

จบวักกลิเถรคาถา

อรรถกถาวักกลิเถรคาถาที่ 8



คาถาของท่านพระวักกลิเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วาตโรคาภินีโต
ดังนี้เป็นต้น. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในหังสวดีนคร ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา

แล้ว ไปยังวิหารกับอุบาสกทั้งหลายผู้ไปยังสำนักพระศาสดา ยืนอยู่ท้าย
บริษัท ฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้น้อมไปในศรัทธา แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น
จึงถวายทานตลอด 7 วัน ได้ตั้งความปรารถนาไว้ พระศาสดาทอด
พระเนตรเห็นความปรารถนานั้นไม่มีอันตราย จึงได้ทรงพยากรณ์.
แม้ท่านกระทำกุศลตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษย-
โลก ในกาลแห่งพระศาสดาของเราทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
ในกรุงสาวัตถี. ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อท่านว่า วักกลิ. ท่านเจริญแล้ว
เรียนเวท 3 ถึงความสำเร็จในศิลปะแห่งพราหมณ์ เห็นพระศาสดาแล้ว
ไม่อิ่มเพราะเห็นสมบัติพระรูปกาย จึงเที่ยวไปกับพระศาสดาเท่านั้น. คิดว่า
เมื่อเราอยู่ในท่ามกลางเรือน จักไม่ได้เห็นพระศาสดาตลอดกาลเป็นนิจ
จึงบวชในสำนักพระศาสดา ยืนอยู่ในที่ ๆ ตนสามารถเห็นพระทศพล
ในเวลาที่เหลือ เว้นเวลาฉันอาหาร และเวลาทำกิจด้วยสรีระ จึงละกิจ
อย่างอื่น เที่ยวแลดูแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น.
พระศาสดาทรงรอความแก่กล้าแห่งญาณของเธอ เมื่อเธอเที่ยวไป
ด้วยการดูพระรูปเท่านั้น สิ้นกาลมากมาย ไม่ได้ตรัสอะไร ๆ รุ่งขึ้นวันหนึ่ง
จึงตรัสว่า วักกลิ จะประโยชน์อะไรด้วยการที่เธอเห็นกายที่เปื่อยเน่านี้
วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา วักกลิ ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่า
เห็นธรรม วักกลิ เพราะเมื่อบุคคลเห็นธรรมชื่อว่าเห็นเรา เมื่อบุคคล
เห็นเราชื่อว่าเห็นธรรม ดังนี้.
เมื่อพระศาสดาแม้ตรัสอยู่อย่างนั้น ท่านก็ไม่สามารถจะละการดู
พระศาสดาไปในที่อื่นได้. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพระดำริว่า ภิกษุนี้

ไม่ได้ความสังเวชจักไม่ตรัสรู้ ดังนี้ ในวันเข้าพรรษา จึงขับไล่พระเถระ
ด้วยตรัสว่า หลีกไป วักกลิ. พระเถระถูกพระศาสดาทรงขับไล่ จึงไม่อาจ
จะอยู่ในที่พร้อมพระพักตร์ได้ จึงคิดว่า จะประโยชน์อะไรด้วยความเป็น
อยู่ของเรา ที่จะไม่เห็นพระศาสดา ดังนี้แล้ว จึงขึ้นสู่ที่เหวที่ภูเขาคิชฌกูฏ.
พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นของเธอ จึงทรงพระดำริว่า ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้
ความเบาใจจากสำนักเรา จะพึงยังธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผล
ให้พินาศไป เมื่อจะทรงฉายพระรัศมีเพื่อแสดงพระองค์ จึงตรัส
พระคาถาว่า
ภิกษุผู้มากไปด้วยปราโมทย์ เลื่อมใสในพระพุทธ-
ศาสนาพึงบรรลุบทอันสงบ เป็นที่เข้าไปสงบแห่งสังขาร
เป็นสุข
ดังนี้.
แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า มาเถิด วักกลิ. พระเถระคิดว่า เราเห็น
พระทศพลแล้ว แม้การตรัสเรียกว่า จงมา เราก็ได้แล้ว ดังนี้แล้วเกิดปีติ
และโสมนัสมีกำลัง ไม่รู้การไปของตนว่ามาจากไหน จึงแล่นไปในอากาศ
ในที่พร้อมพระพักตร์ของพระศาสดา ยืนอยู่บนเขาด้วยก้าวเท้าแรก รำพึง
ถึงคาถาที่พระศาสดาตรัส ข่มปีติในอากาศนั่นเอง บรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาดังนี้ เรื่องนี้มาแล้วในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย และ
อรรถกถาแห่งธรรมบท.
ก็ในที่นี้ อาจารย์บางพวกกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ท่านพระวักกลิเถระ
อันพระศาสดาทรงโอวาทโดยนัยมีอาทิว่า เธอจะประโยชน์อะไร วักกลิ
ดังนี้ อยู่บนภูเขา เริ่มตั้งวิปัสสนา เพราะท่านมีศรัทธาเป็นกำลังนั่นเอง
วิปัสสนา จึงไม่ลงสู่วิถี พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบดังนั้น จึงได้ให้

เธอชำระกรรมฐานให้หมดจดประทานให้ เธอไม่สามารถจะให้วิปัสสนาถึง
ที่สุดได้อีก. ลำดับนั้น โรคลมเพราะความบกพร่องอาหาร ได้เกิดขึ้น
แก่ท่าน, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าท่านถูกโรคลมเบียดเบียน จึง
เสด็จไปในที่นั้น เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ ซึ่งเป็นที่ปราศจาก
โคจร เป็นที่เศร้าหมอง ลูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร

พระเถระได้ฟังดังนั้น จงได้กล่าว 4 คาถา1ว่า
ข้าพระองค์จะยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไป
สู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ จัก
เจริญสติปัฏฐาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 และโพชฌงค์
อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ปรารภความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความ
พร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้าพระองค์จึงจักอยู่
ในป่าใหญ่ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระ-
องค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัยตั้งมั่น จึงเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันอยู่ในป่าใหญ่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาตโรคาภินีโต ความว่า ถูกโรคลม
ครอบงำ นำให้ถึงความไม่มีเสรีภาพ คือถูกพยาธิอันเกิดจากลมครอบงำ.
พระองค์เรียกพระเถระว่า ตวํ.
บทว่า วิหรํ ความว่า อยู่ด้วยอิริยาบถวิหารนั้น.
บทว่า กานเน วเน ความ ว่าในป่าอันเป็นดง อธิบายว่า ในป่าใหญ่.

1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 342.

บทว่า ปวิฏฺฐโคจเร แปลว่า เป็นที่ปราศจากโคจร คือเป็นที่หาปัจจัย
ได้ยาก, ชื่อว่า เศร้าหมอง คือเป็นที่เศร้าหมอง เพราะไม่มีเภสัชมีเนยใส
เป็นต้น อันเป็นสัปปายะของโรคลม และเพราะเป็นภูมิภาคมีดินเค็ม.
บทว่า กถํ ภิกฺขุ กริสฺสสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
ภิกษุ เธอจักทำอย่างไร ?
พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศการอยู่เป็นสุขแห่งตน ด้วย
ปีติและโสมนัสปราศจากอามิสดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปีติ สุเขน ด้วย
ปีติและสุข.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปีติ สุเขน ความว่า ด้วยปีติ อันมีความ
โลดลอย เป็นลักษณะ และมีการแผ่ซาบซ่านเป็นลักษณะ และด้วยสุข
อันสัมปยุตด้วยปีตินั้น.
บทว่า ผรมาโน สมุสฺสยํ ความว่า ข้าพระองค์จะยังรูปอันประณีต
อันเกิดจากปีติและสุขตามที่กล่าวแล้ว ให้แผ่ซ่านเข้าร่างกายทั้งสิ้น คือ
กระทำให้รูปถูกต้องไม่ขาดสาย.
บทว่า ลูขมฺปิ อภิสมฺโภนฺโต ความว่า ครอบงำ คือท่วมทับปัจจัย
อันเศร้าหมอง แม้อดกลั้นได้ยาก อันเป็นเหตุเป็นไปโดยความขัดเกลา
ซึ่งเกิดแต่การอยู่ป่า.
บทว่า วิหริสฺสามิ กานเน ความว่า ข้าพระองค์จักอยู่ในราวป่า
ด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน และสุขอันเกิดแต่วิปัสสนา. ด้วยเหตุนั้นท่าน
จึงกล่าวว่า และข้าพระองค์เสวยสุขด้วยกาย (นามกาย ) และว่า
บุคคลพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและดับแห่งขันธ์
ทั้งหลายในกาลใด ๆ ในกาลนั้น ๆ เขาย่อมได้ปีติและ
ปราโมช นั้นเป็นอมตะของบุคคลผู้รู้อยู่.

บทว่า ภาเวนฺโต สติปฏฺฐาเน ความว่า ยังสติปัฏฐาน 4 มี
กายานุปัสสนาเป็นต้น อันนับเนื่องในมรรค ให้เกิดและให้เจริญ.
บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ 5 มีสัทธินทรีย์เป็นต้น อันนับ
เนื่องในมรรคนั้นเอง.
บทว่า พลานิ ได้แก่ พละ 5 มีศรัทธาเป็นต้น ก็เหมือนกัน. บทว่า
โพชฺฌงฺคานิ ได้แก่ โพชฌงค์ 7 มีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้นก็เหมือนกัน.
ด้วย ศัพท์ ท่านสงเคราะห์ สมัมัปปธาน อิทธิบาท และองค์มรรค.
จริงอยู่ การคำนวณธรรมเหล่านั้น ย่อมมีโดยการจัดธรรมเหล่านั้น
นั่นเอง เพราะไม่มีการเว้นธรรมเหล่านั้น. บทว่า วิหริสฺสามิ ความว่า
ข้าพระองค์ เมื่อเจริญโพธิปักขิยธรรมตามที่กล่าวแล้ว จักอยู่ด้วยสุขอัน
เกิดแต่มรรค สุขอันเกิดแต่ผลอันสำเร็จมาแต่การบรรลุมรรคนั้น และ
สุขอันเกิดแต่พระนิพพาน.
บทว่า อารทฺธวีริเย ความว่า ผู้ประกอบความเพียร ด้วยสามารถ
แห่งสัมมัปปธาน 4. บทว่า ปหิตตฺเต ได้แก่ ผู้มีจิตส่งไปเฉพาะแล้วสู่
พระนิพพาน. บทว่า นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกเน ได้แก่ ผู้มีความเพียรไม่ย่อหย่อน
ตลอดกาล. ชื่อว่า ผู้มีความพร้อมเพรียง ด้วยอำนาจไม่วิวาทกัน และ
ด้วยอำนาจการให้กายสามัคคี. เพราะเห็นเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้เสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล. ด้วยคำนั้นท่านแสดง
ถึงความเพียบพร้อมด้วยกัลยาณมิตร.
บทว่า อนุสรนฺโต สมฺพุทฺธํ ความว่า ไม่เกียจคร้าน ระลึกถึง
พระองค์ผู้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและ
ด้วยพระองค์เอง ชื่อว่า ผู้เลิศ เพราะเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า

ฝึกตนแล้วด้วยการฝึกอันสูงสุด ชื่อว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิอันยอดเยี่ยม
โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์
ดังนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวันทุกเวลาอยู่. ด้วยคำนี้ ท่านจึงกล่าวการ
ประกอบพระกรรมฐานในที่ทั้งปวง เพราะแสดงถึงอาการประกอบในการ
เจริญพุทธานุสสติ กล่าวถึงการประกอบปาริหาริยกรรมฐาน ด้วยคำต้น.
ก็พระเถระครั้นกล่าวอย่างนี้แล จึงบำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัต. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
สมเด็จพระผู้นำมีพระนามอันรุ่งเรือง มีพระคุณนับ
ไม่ได้ พระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วใน
แสนกัป แต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ก็เพราะมีพระพักตร์เหมือนดอกปทุม มีพระฉวีวรรณงาม
ไม่มีมลทินเหมือนดอกปทุม ไม่เปื้อนด้วยโลก เหมือนดอก
ปทุมไม่เปื้อนด้วยน้ำฉะนั้น เป็นนักปราชญ์ มีพระอินทรีย์
ดังใบปทุมและน่ารักเหมือนดอกปทุม ทั้งมีพระโอษฐ์มี
กลิ่นอุดม เหมือนกลิ่นในกลีบของดอกปทุม เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงพระนานว่า ปทุมุตตระ พระองค์เป็นผู้เจริญ
กว่าโลก ไม่ทรงถือพระองค์ เปรียบเสมือนเป็นนัยน์ตา
ให้คนตาบอด มีพระอิริยาบถสงบ เป็นที่เก็บพระคุณ เป็น
ที่รองรับกรุณาและมติ ถึงในครั้งไหน ๆ พระมหาวีรเจ้า
พระองค์นั้น ก็เป็นผู้อันพรหม อสูรและเทวดาบูชา เป็น
พระชินะผู้สูงสุดในท่ามกลางหมู่ชนและเกลื่อนกล่นไปทั้ง


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 122.

เทวดาและมนุษย์ เพื่อจะยังบริษัททั้งปวงให้ยินดี ด้วย
พระสำเนียงอันเสนาะ และด้วยพระธรรมเทศนาอัน
เพราะพริ้ง จึงได้ชมสาวกของพระองศ์ว่า ภิกษุอื่นที่พ้น
กิเลสด้วยศรัทธามีมติดี ขวนขวายในการดูเรา เช่นกับ
วักกลิภิกษุนี้ ไม่มีเลย ครั้งนั้นเราเป็นบุตรของพราหมณ์
ในพระนครหังสาวดี ได้สดับพระพุทธสุภาษิตนั้น จึง
ชอบใจฐานันดรนั้น ครั้งนั้นเราได้นิมนต์พระตถาคตผู้
ทศจากมลทินพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระสาวก ให้
เสวยตลอด 7 วัน แล้วให้ครองผ้า เราหมอบศีรษะลงแล้ว
จบลงในสาคร คืออนันตคุณของพระศาสดาพระองค์นั้น
เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ได้กราบทูล ดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหา-
มุนี ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเช่นกันกับภิกษุผู้ศรัทธาธิมุตติ
ที่พระองค์ทรงชมเชยว่าเป็นเลิศว่าภิกษุมีศรัทธาในพระ-
ศาสนานี้เถิด เมื่อเราได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระมหามุนีผู้มี
ความเพียรใหญ่ มีพระทัสสนะมิได้มีเครื่องกีดกัน ได้ตรัส
พระดำรัสนี้ในท่านกลางบริษัทว่า จงดูมาณพผู้นี้ ผู้นุ่งผ้า
เนื้อเกลี้ยงสีเหลือง นี้อวัยวะอันบุญสร้างสม ให้คล้าย
ทองคำ ดูดดื่มตาและใจของหมู่ชน ในอนาคตกาล มาณพ
ผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง-
ใหญ่ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายศรัทธาธิมุตติ เขาเป็น
เทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม จักเป็นผู้เว้นจากความเดือดร้อน
ทั้งปวง รวบรวมโภคทรัพย์ทุกอย่าง มีความสุขท่องเที่ยวไป

ในที่แสนกัปแต่กัปนี้ พระศาสดานี้พระนามว่า โคดม
ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก มาณพผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา
พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวก
ของพระศาสดามีนามว่า วักกลิ เพราะผลกรรมที่เหลือ
นั้น และเพราะตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว
ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรามีความสุขในที่ทุกสถาน
ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เกิดในตระกูลหนึ่งใน
พระนครสาวัตถี มารดาของเราถูกภัยแต่ปิศาจคุกคาม
มีใจหวาดกลัว จึงให้เราผู้ละเอียดอ่อนเหมือนเนยข้น นุ่ม
นิ่มเหมือนใบไม้อ่อน ๆ ซึ่งยังนอนหงาย ให้นอนลง
แทบบาทมูลของพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันขอถวายทารกนี้แด่พระองค์
ข้าแต่ พระโลกนายก ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของเขา
ด้วยเถิด ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อัน
อ่อนนุ่นมีตาข่าย อันท่านกำหนดด้วยจักรตั้งแต่นั้นมา
เราก็เป็นผู้ถูกรักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจาก
ความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่โดยสุขสำราญ เราเว้นจาก
สุคตเสียเพียงครู่เดียวก็รำคาญใจ พออายุได้ 7 ขวบ
เราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วยการดูพระ-
รูปอันประเสริฐเกิดเพราะบารมีทุกอย่าง มีดวงพระเนตร

สีนิล ล้วนเกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสัณฐานอันงดงาม ครั้ง
นั้น พระศาสดาทรงทราบว่าเรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้
ตรัสสอนเราว่า อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่า
เกลียด ซึ่งคนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม
บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็
ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้
มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่างล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุด
แห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย เราอันสมเด็จพระโลกนาย
ผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้
ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา พระพิชิตมาร ผู้
มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เพื่อจะทรงปลอบโยนเรา
ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
ครั้นนั้นเราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขา สูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่
ถึงแผ่นดินได้โดยสะดวกทีเดียวด้วยพุทธานุภาพ พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือความเกิดขึ้น-
และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้น
ทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงถึงที่สุดแห่งจรณะ ทรงประกาศใน
ท่ามกลางแห่งมหาบริษัทแห่งสัตบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศ
กว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายศรัทธาธิมุตติ ในที่แสนกัปแต่กัปนี้

เราได้ทำกรรมไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเรานั้นเราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล
ก็ได้กล่าวคาถานี้เหมือนกัน. ลำดับนั้นพระศาสดา ประทับนั่งในท่ามกลาง
ภิกษุสงฆ์ จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้น้อมไปใน
ศรัทธาฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวักกลิเถรคาถาที่ 8

9. วิชิตเสนเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระวิชิตเสนเถระ


[343] เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์ กักช้าง
ไว้ที่ประตูนครฉะนั้น เราจักไม่ประกอบจิตไว้ในธรรม
อันลามก จักไม่ย่อมให้จิตตกลงไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิด
ในร่างกาย เจ้าถูกเรากักไว้แล้ว จักไปตามชอบใจไม่ได้
เหมือนช้างได้ช่องประตูฉะนั้น ดูก่อนจิตผู้ชั่วช้า บัดนี้
เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนือง ๆ ดังก่อนมิ
ได้ นายควาญช้างมีกำลังแข็งแรง ย่อมบังคับช้างที่จับได้
ใหม่ ยังไม่ได้ฝึก ให้อยู่ในอำนาจด้วยขอ ฉันใด เรา
จักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจ ฉันนั้น นายสารถีผู้ฉลาด
ในการฝึกม้าให้ดี เป็นผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ได้
ฉันใด เราฝึกเจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ 5 ฉันนั้น จักผูกเจ้า
ด้วยสติ จักฝึกจักบังคับเจ้าให้ทำธุระด้วยความเพียร เจ้า
จักไม่ได้ไปไกลจากอารมณ์ภายในนี้ละนะจิต

จบวิชิตเสนเถรคาถา

อรรถกถาวิชิตเสนเถรคาถาที่ 9



คาถาของท่านพระวิชิตเสนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โอลคฺเคสฺสามิ
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?